Confession (2022)

ฆาตกรรมคำลวง

Confession Poster
9/10

คะแนน
โกดังหนัง

ทหนังดีเกินคาด ดีกว่าต้นฉบับซะอีก หนังทริลเลอร์ที่ดุเดือด เชือดเฉือนอารมณ์ทางคำพูด เรื่องราวพลิกไปพลิกมา สับขาหลอกคนดู แถมการนำเสนอก็มีชั้นเชิง กลายเป็นหนังเกาหลีที่เจ๋งมากๆ

หมวดหมู่ : Mystery Thriller
สัญชาติ : Korean
กำกับโดย : Yoon Jong-seok
ความยาว : 1 ชั่วโมง 46 นาที
นักแสดงนำ : So Ji-sub, Kim Yunjin, Nana

คำคมจากภาพยนตร์

"การเอาตัวรอดมันย่อมเจ็บปวด"

เรื่องย่อ

ยูมินโฮ เป็นซีอีโอที่บริหารดูแลบริษัทด้านไอทีชั้นนำ แต่ปรากฏว่าเขาตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในห้องปิดผนึก ทนายความสาว ยางชินแอ จึงก้าวเข้ามาดูแลรับผิดชอบคดีนี้ให้กับเขา โดยมีเดิมพันอัตราการแพ้คดีในอาชีพของเธอยังเป็นศูนย์ ขณะเดียวกันก็ยังมีตัวแปร อย่าง คิมเซฮี ที่เป็นเหมือนคนถือกุญแจสำคัญของคดีนี้ปรากฏตัวขึ้นอีกคน

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Confession เป็นงานรีเมคที่มาจาก The Invisible Guest ต้นฉบับจากสเปน ที่เนื้อหาคุณภาพ บทหนังซับซ้อนเล่นใหญ่จนคุณดูคาดไม่ถึงมาแล้ว เมื่อถูกปรับนำมาเล่าใหม่ในบริบทสังคมเกาหลี ปรากฏว่าตัวหนังบทหนังแข็งแกร่งมากกว่าเดิม สอดรับกับเนื้อหาสไตล์เกาหลี พร้อมทั้งการเล่าเรื่องที่มีชั้นเชิง รู้จังหวะที่จะปล่อยจุดพลิกผัน จุดหักมุมไปมา ก็มากเพียงพอที่จะตรึงคนดูให้ตั้งใจดูหนังเรื่องนี้ไปตั้งแต่ต้นจนจบได้แล้ว อีกทั้งด้วยการวางเรื่องให้มีลักษณะเป็นการเล่าแบบ 1 เหตุการณ์จากหลายมุมมอง ก็ทำออกมาได้อย่างชาญฉลาดจนคาดเดาได้ยากเหลือเกิน

  • สายหนังสับขาหลอกหักมุมไปมา
  • สายหนังระทึกขวัญสืบสวน
  • สายหนัง 1 เหตุการณ์หลายมุมมอง

รีวิว / สรุปเนื้อหา

ถ้าหากใครคิดว่าหนังเรื่องนี้นำบทหนังดั้งเดิมมาเล่าเปลี่ยนประเทศเปลี่ยนโลเคชั่นแล้วละก็คิดผิดอย่างแรง บทหนังใช้แก่นแท้ปมเดิมจากต้นฉบับ เพียงแต่ว่าเมื่อถูกนำมาปัดฝุ่นเล่าใหม่ในสไตล์เกาหลีดูเหมือนว่า หนังเดินมาถูกทางมากๆ สิ่งที่หนังแตกต่างออกไปนั้นคือวิธีการเล่าเรื่องนำเสนอปมประเด็นต่างๆของตัวละครพระเอก ที่ออกแนวหลอกล่อคนดู หนังใช้โทนความระทึกขวัญมาเล่าเรื่องในสไตล์ ราโชมอน หรือ 1 เหตุการณ์จากหลายมุมมองออกมาได้อย่างชาญฉลาด แถมยังมีบทที่แข็งแรงเกี่ยวกับความชั่วร้ายในจิตใจของมนุษย์ และยิ่งเป็นพล็อตเรื่องเกาหลีความระทึกขวัญ เขาซับซ้อนของเรื่องราวยิ่งดูยิ่งสนุกตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ หนังเรื่องนี้มีลูกเล่นที่แพรวพราว หนังใช้การเล่าเรื่องจากบทสนทนาผ่านตัวละคร แต่ละเหตุการณ์ ชวนระทึก อึ้ง ช็อกคนละแบบ ความเข้มข้นตลกร้ายแบบพีคคนละรสชาติ บทพูดในแต่ละฉากนี่แหละคือเบาะแสให้เราได้คิดตาม ยิ่งคนไม่เคยดูทั้งคู่มีเหวอแน่นอน แต่ฉากมันพลิกไปพลิกมา คาดเดาทิศทางไม่ถูก ซึ่งมันดึงอารมณ์คนดูได้โฟกัสอยู่ที่หน้าจอตลอดเวลา

จริงที่หนังเรื่องนี้โดดเด่นกว่าต้นฉบับคือ Culture ของสังคมเกาหลีใต้นี่แหละ เรากล้าพูดว่าหนังระทึกขวัญ หนังสืบสวนสอบสวน หนังฆาตกรรม หนังไขคดีหาตัวคนร้าย ไม่มีชาติไหนที่ทำแล้วบรรยากาศน่ากลัวไม่น่าไว้วางใจได้โหดเท่ากับเกาหลีอีกแล้ว คือแม้ว่าเราจะรู้ว่าหนังเป็นอย่างไรจากต้นฉบับ แต่พอมาดูจริงๆแล้ว หนังมันซับซ้อนมากกว่า หนึ่งสิ่งที่ชัดเจนก็คือมันเป็นการต่อสู้ของคนรวยคนมีเงิน ช่องโหว่ทางสังคมที่นับวันยิ่งห่างไกลไปเรื่อยๆ ยิ่งคุณมีเงินมากเท่าไหร่ในเกาหลี คุณย่อมรอยตัวอยู่เหนือกฏหมายได้ คนเหล่านี้แคร์แค่หน้าที่การงาน เรื่องเงิน เรื่องผลประโยชน์ห่วงแค่ภาพลักษณ์มากกว่าความถูกต้อง เราได้เห็นความซับซ้อนของตัวละครพระเอกที่ดูเลว ดูไว้ใจไม่ได้ แต่ในเวลาเดียวกัน แต่ละฉากก็ซ่อนความชั่วร้ายเอาไว้ จนไม่รู้เลยว่าอันไหนเรื่องจริงเรื่องโกหกกันแน่ นอกจากนี้หนังยังพูดถึงการตั้งคำถามถึงความยุติธรรมในสังคมเกาหลี ซึ่งภาพในหนังมันชัดเจนมากๆ ถ้าเป็นแบบนี้คนจนคนถูกกระทำคงไม่มีที่ยืนในสังคมไม่มีปากมีเสียงแน่ๆ

นอกจากบทหนังที่เล่าเรื่องได้น่าสนใจ เรื่องราวที่พูดถึงสังคมเกาหลีช่องว่างทางสังคมอีกจุดหนึ่งที่ไม่พูดคงไม่ได้นั้นคือการแสดงนำของ 3 ดารานำ นั้นคือ So Ji-sub พระเอกหนุ่มหล่อจากซีรีส์ Doctor Lawyer และหนังรีเมค Be with You ที่เรื่องนี้แสดงได้ซับซ้อนมากๆ เหมือนจะดีและเลวในเวลาเดียวกัน เสน่ห์ของเขาทำให้ตัวละคร Yoo Min-ho น่าสนใจมากๆ พอมาเข้าฉากกับ Nana จากวง After School มันกลายเป็นพาร์ทดราม่าที่ดูสนุก เหมือนคนหนีปัญหาเรื่องชู้รักแล้วยังต้องมาเจอกับปัญหาใหม่ที่ตัวเองสร้างไว้อีกจนโกหกไปเรื่อยๆและแก้ตัวไม่ได้ในท้ายที่สุด รวมไปถึง Kim Yunjin ทนายความสาวที่เข้ามาไกล่เกลี่ยคดีความให้พระเอก การพูดคุยกันในบ้านพักในบรรยากาศหิมะตก มันได้อรรถรสมากๆมีลูกล่อลูกชน ทำเอาคนดูไม่สามารถละสายตาได้เลย

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • หนังเรื่องนี้ได้ไปฉายในเทศกาล 21st New York Asian Film Festival พร้อมกับ Fast & Feel Love ของคุณเต๋อ นวพล
  • หนังใช้เวลาถ่ายทำ 3 เดือน
  • ผู้กำกับ Yoon Jong-seok ชอบหนังต้นฉบับมาก จึงตัดสินใจขอกำกับและเขียนบทหนังเรื่องนี้