Blue Valentine (2011)
บลูวาเลนไทน์
คะแนน
โกดังหนัง
หนังที่พาเราไปสัมผัสถึงจุดสูงสุดของความรัก และจุดต่ำสุดของความสัมพันธ์ สู่เรื่องราวของการหมดรักที่ชวนเศร้าและหดหู่ในเวลาเดียวกัน
คำคมจากภาพยนตร์
“They spend their whole life looking for prince charming then they marry the guy that’s got a good job and who’s gonna stick around.” “พวกเธอใช้เวลาทั้งชีวิตในการตามหาเจ้าชายผู้เลอโฉม แต่แล้วก็ต้องมาแต่งงานกับผู้ชายที่มีงานดีๆ ทำ และก็ต้องอยู่ด้วยกันอย่างนั้น”
เรื่องย่อ
ดีน ผู้ชายธรรมดาที่สนุกไปกับงานรับเหมาย้ายบ้าน จนกระทั่งได้มาพบกับ ซินดี้ สาวนักศึกษาที่ตั้งใจอยากจบเป็นแพทย์ในอนาคต ในตอนนั้น ซินดี้ ตั้งใจจะเลิกกับแฟนเก่าพอดี เลยได้คบหาดูใจกับดีน จนกลายเป็นในช่วงที่ทั้งคู่รักกันมากที่สุดในช่วงชีวิต จนกระทั่ง 6 ปีผ่านไป ทั้งคู่ก็ได้มีลูกสาวด้วยกัน 1 คน แต่กลับกันคือความรักของทั้งคู่กลับช่างโรยรา และแทนที่ด้วยความไม่ค่อยพูดค่อยจา เต็มไปด้วยการทะเลาะกันแทน จนทั้งสองฝ่ายต่างเริ่มไม่แน่ใจอีกต่อไปแล้วว่า พวกเขายังจะกลับมารักกันเหมือนเดิมได้หรือไม่
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Blue Valentine นั้น อาจไม่เหมาะกับคนที่มองความรักที่มีแต่ด้านสวยงาม เหมือนอย่างหนังโรแมนติก คอเมดี้ ทั่วๆ ไป แต่กลับเป็นหนังรักแบบเรียลๆ ที่มีหลายมุมมองของความรักทั้งพาร์ทความสุข และพาร์ความเศร้าแบบปนกันไป โดยช่วงที่ดูก็จะรู้สึกเจ็บหนักๆ หน่อยกับการได้เห็นความรักของสองตัวละครที่หวานปานน้ำผึ้งสลับกับพาร์ทความพังในแบบที่ต่างคนต่างจะทำลายกันได้อย่างน่าเศร้า ใครที่ชอบหนังชีวิตคู่พังๆ แบบ Revolutionary Road หรือ Marriage Story แล้ว นี่คืออีกเรื่องที่มีพลังทำลายล้างชีวิตคู่ได้ไม่แพ้กัน
- สายหนังรักสุดหม่น
- สายหนังชีวิตคู่แตกสลาย
- สายหนังรักสายเศร้า
รีวิว / สรุปเนื้อหา
หนังที่มีทุกอย่างสมชื่อทั้งพาร์ทความรักแสนหวานประหนึ่ง Valentine กับขั้วตรงข้ามกับความ Blue ที่หมายถึงความหม่นในความรักของทั้งคู่ ซึ่งโดยปกติแล้วหนังทั่วไปที่เป็นแนว Romantic นั้น ก็มักที่จะเริ่มจากการที่พาคนดูไปรู้จักกับตัวละคร ก่อนที่จะพาพวกเขาไปรักกัน เจออุปสรรคเล็กน้อย ก่อนที่จะกลับมารักกันโดยคิดว่าความรักนั้นจะยั่งยืนตลอดไป แต่ Blue Valentine กลับเสนอในแง่มุมที่ต่างกันออกไป เพราะหนังเล่าตัดสลับถึงในช่วงที่ทั้งคู่รักการหวานชื่นอย่างถึงที่สุด สลับกับช่วงที่ชีวิตคู่ของทั้งคู่ไม่หลงเหลือความรักให้แก่กันและกันอีกต่อไป
ซึ่งการเล่าเรื่องแบบนี้ก็สร้างความเจ็บปวดให้กับคนดูได้มากมายเหลือเกิน กับกเารที่เราได้เห็นพวกเขารักกัน โดยที่รู้อยู่แล้วว่าปลายทางของพวกเขาจะออกมาเป็นอย่างไร ในแง่ข้อความขัดแย้งของตัวละครก็เต็มไปด้วยความน่าสนใจ เพราะคู่รักเกือบทุกคู่ มักเริ่มรักกันในช่วงอายุหนึ่งที่คาดหวังในตัวคนรักอย่างหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อความต้องการของคนใดคนหนึ่งดันเปลี่ยนไป หรือคาดหวังในตัวคู่รักมากขึ้นในขณะที่คนรักกลับยังเป็นคนเดิมในวันนั้น ก็กลายเป็นจุดพลิกผันในชีวิตคู่ขึ้นมาได้ ซึ่งฉากที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงของคู่รักคู่นี้ได้มากที่สุด คงเป็นฉากเลิฟซีนที่ต่างช่วงเวลา และมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ด้วยคู่ดาราที่ต่างมีฝีมือในการแสดงกันอยู่แล้ว ทั้ง Ryan Gosling และ Michelle Williams ที่ถ่ายทอดตอนรักกันให้เราเชื่อว่าพวกเขารักกันจริง แต่ในทางกลับกันอย่างตอนทะเลาะกันก็สร้างความดุเดือดได้เช่นกัน จนทำให้คนดูต่างก็อินไปกับชีวิตคู่ของ 2 ตัวละครนี้มากๆ อีกทั้งในส่วนของการกำกับก็ยังมีการใช้ลูกเล่นของสีมาประกอบกับภาพของ 2 ช่วงเวลาที่ต่างกันได้เป็นอย่างดี เพื่อเป็นการเสริม Mood & Tone ของความสัมพันธ์ตัวละคร ที่จากสีสันสดใส กับสีหมองหม่น ไปกับความของพวกเขาที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จนรู้สึกว่า Blue Valentine นั้นเป็นหนังรักอีกเรื่องที่เฉียบมาก และไม่ได้แสดงแต่ด้านดีของความรักเหมือนอย่างหนัง Romantic เรื่องอื่่นๆ แต่กลับขยี้ความสัมพันธ์ให้จางหายและตายจากไปได้อย่างอำมหิตเหลือเกิน
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- ในตอนที่ถ่ายทำในช่วงแรกที่เป็นส่วนพาร์ทของเรื่องราวความรักของคนทั้งสองเสร็จนั้น ทางทีมงานก็เริ่มมีการพูดคุยกันว่า จะทำแค่พาร์ทนี้ดีไหม และให้หนังชื่อเรื่องว่า “Valentine” ที่เล่าถึงเรื่องราวการตกหลุมรักกันไปเลย
- จริงๆ แล้วหนังเรื่องนี้ถูกกำหนดให้ถ่ายทำในปี 2008 แต่ก็ต้องถูกเลื่อนออกไปเพราะการเสียชีวิตของดาราอย่าง Heath Ledger และเพื่อเป็นการให้เวลา และเคารพต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ Michelle William ที่เป็นภรรยา พร้อมกับลูกสาวอย่าง Matilda ด้วย